ยังไม่มีวัคซีนสำหรับ EVD ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ มีวัคซีนหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการทดสอบ แต่ยังไม่มีชนิดใดเลยที่พร้อมสำหรับให้ใช้ทางคลินิกได้
ผู้ป่วยหนักต้องการการรักษาอย่างเข้มงวดมาก ผู้ป่วยมักมีอาการขาดน้ำ และต้องการน้ำและ สารละลายที่มีสารเกลือแร่ผ่านทางปากเพื่อชดเชย หรืออาจให้น้ำเกลือใต้ผิวหนัง
สัตว์เจ้าเรือนของไวรัสอีโบลา
ในแอฟริกา ค้างคาวผลไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสกุล Hypsignathus monstrosus, Epomops franqueti และ Myonycteris torquata อาจเป็นสัตว์เจ้าเรือนตามธรรมชาติสำหรับไวรัสอีโบลา เนื่องจากพบว่ามีการซ้อนเหลื่อมทางภูมิศาสตร์ของกระจายตัวของค้างคาวผลไม้และไวรัสอีโบลา
ไวรัสอีโบลาในสัตว์
แม้ว่าไพรเมต (ลิงไร้หาง) อื่นๆ ที่ไม่รวมคนอาจจะเป็นแหล่งรังโรคสำหรับคนได้ แต่เชื่อกันว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น และน่าจะมาจากการติดเชื้อโดยบังเอิญของมนุษย์มากกว่า เนื่องจากพบการระบาดของอีโบลาในปี 1994 จากสปีชีส์ EBOV และ TAFV ในชิมแปนซีและกอริลลา
RESTV เป็นต้นเหตุการระบาดอย่างหนักของ EVD ในลิง Macaca fascicularis ที่เลี้ยงในประเทศฟิลิปปินส์ และยังตรวจพบในลิงที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ ในปี 1989, 1990 และ 1996 และในลิงที่นำเข้าประเทศอิตาลีจากฟิลิปปินส์ในปี 1992 และตั้งแต่ปี 2008 ตรวจพบไวรัส RESTV ระหว่างการระบาดของโรคพิฆาตนี้ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและฟิลิปปินส์ มีรายงานการติดเชื้อในสุกรที่ไม่มีอาการ และการทดสอบฉีดเชื้อในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า RESTV ไม่ทำให้เกิดโรคในสุกร
การป้องกันและการควบคุม
การควบคุมอีโบลาไวรัส Reston ในสัตว์เลี้ยง
ยังไม่มีวัคซีนในสัตว์สำหรับ RESTV การทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อของฟาร์มสุกรและลิงเป็นกิจวัตร (ด้วยโซเดียมโฮโปคลอไรท์หรือสารซักฟอกอื่นๆ) น่าจะมีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์ได้
ในกรณีที่สงสัยว่าเกิดการระบาดขึ้น ควรใช้การกักโรคทันที สัตว์ที่ติดเชื้อต้องกำจัดทิ้งโดยการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งการกลบฝังหรือการเผาซาก มาตรการดังกล่าวอาจจำเป็นสำหรับลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คน การจำกัดหรือห้ามการเคลื่อนย้ายสัตว์จากฟาร์มที่ติดเชื้อไปยังบริเวณอื่นๆ ช่วยลดการแพร่กระจายของโรคได้
มักมีการระบาดของ RESTV ในสุกรและลิงก่อนการติดเชื้อในคน การสร้างระบบเฝ้าระวังสัตว์ที่แอกทีฟจะช่วยตรวจหากรณีใหม่ๆ ได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเตือนภัยแต่เนิ่นๆ สำหรับสัตวแพทย์และสำหรับผู้มีอำนาจหน้าที่ด้านสาธารณสุข
การลดความเสี่ยงของการติดเชื้ออีโบลาในคน
การที่ไม่มีวัคซีนและวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพในมนุษย์ ทำให้เกิดความห่วงใยว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับการติดเชื้ออีโบลา และมาตรการป้องกันตนเองสำหรับบุคคลถือเป็นวิธีการเดียวที่ช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตในมนุษย์ได้
ในทวีปแอฟริการะหว่างการระบาดของ EVD การให้ข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยต้องเน้นไปยังปัจจัยบางประการดังนี้
- การลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากสัตว์ป่าสู่คนที่เกิดจากการสัมผัสกับค้างคาวผลไม้ หรือลิง/ เอปที่ติดเชื้อ และจากการทานเนื้อสดของสัตว์เหล่านี้ การหยิบจับสัตว์เหล่านี้ควรใช้ถุงมือและชุดอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ ที่เหมาะสม ควรปรุงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (เลือดหรือเนื้อ) ให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนการรับประทาน
- การลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากคนสู่คนในชุมชน ที่เกิดจากการสัมผัสทางตรงหรืออย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชากของเหลวแบบต่างๆ จากร่างกาย ควรงดเว้นการสัมผัสทางกายภาพอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคอีโบลา ควรสวมถุงมือและอุปกรณ์ป้องกันตนเองที่เหมาะสมเมื่อต้องดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ควรล้างมือบ่อยๆ หลังจากไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาล เช่นเดียวกับหลังจากที่ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
- ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอีโบลาควรให้ข้อมูลของโรคและข้อมูลมาตรการการรับมือและจำกัดการระบาด ซึ่งรวมทั้งการฝังกลบซาก ควรฝังผู้ที่เสียชีวิตจากอีโบลาทันทีอย่างระมัดระวัง ฟาร์มสุกรในแอฟริกามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มการติดเชื้อ หากมีค้างคาวผลไม้ปรากฏในฟาร์มเหล่านั้น ควรเลือกใช้มาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ที่เหมาะสมในการจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อ สำหรับ RESTV นั้น การให้ข้อมูลด้านสาธารณสุขควรเน้นเรื่องการลดความเสี่ยงจากการติดต่อของเชื้อจากสุกรสู่คน ที่เป็นผลมาจากวิธีการเลี้ยงและฆ่าสัตว์อย่างไม่ปลอดภัย และการรับประทานเลือดสด นมสด และเนื้อสัตว์สดๆ อย่างไม่ปลอดภัย ควรสวมถุงมือและอุปกรณ์ป้องกันตนเองที่เหมาะสมเมื่อต้องจัดการกับสัตว์ป่วยหรือเนื้อของมัน และเมื่อต้องชำแหละสัตว์ต่างๆ ในบริเวณที่มีรายงานว่าพบ RESTV ในสุกร ควรปรุงผลิตภัณฑ์ทุกอย่างจากสัตว์ (เลือด, เนื้อ และนม) ให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนบริโภค
การควบคุมการติดเชื้อในระบบดูแลผู้ป่วย
การติดต่อของเชื้อไวรัสอีโบลาจากคนสู่คน มักเกี่ยวข้องกับการสัมผัสทางตรงหรือทางอ้อมกับเลือดหรือของเหลวอื่นของร่างกาย มีรายงานการติดเชื้อในบุคลากรการแพทย์ในกรณีที่ไม่มีมาตรการควบคุมการติดเชื้ออย่างเหมาะสม บางครั้งก็เป็นไปได้ที่จะจำแนกผู้ป่วยติด EBV ไม่ได้แต่เนิ่นๆ เนื่องจากอาการเบื้องต้นไม่จำเพาะ (คล้ายกับอีกหลายโรค) ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่บุคลากรการแพทย์ต้องใช้มาตรการระมัดระวังเบื้องต้นแบบมาตรฐานกับผู้ป่วยทุกคน ไม่ว่าผลการวินิจฉัยจะเป็นเช่นใด ตลอดเวลาการทำงานในทุกขั้นตอน ซึ่งรวมทั้งการรักษาความสะอาดพื้นฐานของมือ, ความสะอาดของระบบหายใจ, การใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองแบบต่างๆ (เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกระเด็นหรือการสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่ติดเชื้อ), การฉีดยาอย่างปลอดภัย และการฝังกลบอย่างปลอดภัย
บุคลากรการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยซึ่งต้องสงสัยหรือยืนยันแล้วว่าติดเชื้อไวรัสอีโบลาควรเพิ่มเติมมาตรการจากข้อควรระวังพื้นฐาน ได้แก่มาตรการควบคุมการติดเชื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดหรือของเหลวอื่นจากร่างกายของผู้ป่วย และการสัมผัสโดยตรงโดยไม่ป้องกันตัวเองในสิ่งแวดล้อมที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อ เมื่อต้องสัมผัสโดยตรง (ระยะไม่เกิน 1 เมตร) กับผู้ป่วยที่ติด EBV บุคลากรการแพทย์ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันใบหน้า (หน้ากากหรือเครื่องป้องกัน และแว่นป้องกัน), ชุดกาวน์แขนยาวสะอาด, และถุงมือ (ในบางขั้นตอนควรใช้ถุงมือปลอดเชื้อ) บุคลากรห้องปฏิบัติการก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ผู้ที่จะตรวจสอบตัวอย่างจากสัตว์และจากผู้สงสัยว่าติดเชื้ออีโบลา ควรจะผ่านการฝึกและทำด้วยวิธีการและห้องปฏิบัติการที่มีความเหมาะสม
การตอบสนองโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)
WHO มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและเอกสารที่ใช้สนับสนุนการสืบสวนและควบคุมโรค
เอกสารคำแนะนำสำหรับการควบคุมการติดเชื้อขณะดูแลผู้ป่วยที่ต้องสงสัยหรือยืนยันว่าติดเชื้อไข้เลือดออกอีโบลา มีชื่อเอกสารว่า Interim infection control recommendations for care of patients with suspected or confirmed Filovirus (Ebola, Marburg) haemorrhagic fever, March 2008. เอกสารนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
WHO ยังได้คิดค้นแบบช่วยบันทึกความจำที่ใช้ประกอบข้อควรระวังมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย) ข้อควรระวังมาตรฐานมีไว้เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อผ่านเลือดหรือเชื้อโรคอื่นๆ หากมีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง ข้อควรระวังนี้จะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อส่วนใหญ่ผ่านการสัมผัสกับเลือดและข้อเหลวจากร่างกายได้
แนะนำให้ใช้ข้อควรระวังมาตรฐานนี้ขณะดูแลหรือรักษาผู้ป่วยทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องยืนยันว่าติดเชื้อจริงหรือไม่ ซึ่งข้อควรระวังดังกล่าวก็รวมทั้งระดับพื้นฐานที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อ—การรักษาความสะอาดของมือ, การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือดหรือของเหลวต่างๆ จากร่างกาย, การป้องกันเข็มฉีดยาและการบาดเจ็บจากอุปกรณ์มีคมอื่น และชุดควบคุมสิ่งแวดล้อม