รวงผึ้งเมื่อกลีบแย้ม เหลืองอร่าม
ชูช่อสนงดงาม อ่อนช้อน
พฤกษาถิ่นสยาม ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
ฝนหยดหยาดลงย้อย แต่งแต้มดอกใบ
น้ำผึ้ง หรือสายน้ำผึ้ง คือชื่อพื้นเมืองของต้นรวงผึ้ง ไม้หอมที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย พบมากในป่าทางภาคเหนือ สูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๐๐๐-๑,๑๐๐ เมตร เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกับปอกระเจาและตะขบฝรั่ง
ต้นรวงผึ้ง หรือYellow star (ชื่อสามัญ) จัดอยู่ในวงศ์ MALVACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Schoutenia glomerata King subsp. peregrina (Craib) Roekm. ลักษณะเด่นของต้นรวงผึ้งคือดอกสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน มีช่อดอกดกที่เกิดตามซอกใบเป็นช่อสั้น โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น ๕ แฉกคล้ายรูปดาว ไม่มีกลีบดอก มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ซึ่งส่วนที่มองเห็นเป็นสีเหลืองเหมือนดอกนั้นคือเกสรตัวผู้ที่รวมกันเป็นกระจุก ลำต้นแตกกิ่งต่ำ กิ่งค่อนข้างเล็กเรือนยอดเป็นพุ่มมน ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปแผ่นใบสองข้างไม่เท่ากัน ผิวใบด้านบนสีเขียว ด้านล่างสีน้ำตาลอมนวล สามารถขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งและเพาะเมล็ด
ดอกรวงผึ้งจะเบ่งบานในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ผลิดอกได้นาน ๗-๑๐วัน เมื่อดอกสีเหลืองบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูงดงามอร่ามตา และส่งกลิ่นหอมชื่นใจตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ต้นรวงผึ้งยังมีความสำคัญคือเป็นพรรณไม้ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องด้วยดอกรวงผึ้งมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ และผลิดอกช่วงวันพระราชสมภพพอดี เมื่อพระองค์เสด็จฯ กอปรพระราชกรณียกิจตามสถานที่ต่างๆ ก็จะทรงปลูกต้นรวงผึ้งพระราชทานไว้เพื่อเป็นตัวแทนแห่งพระองค์ท่านและเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ราษฎร
เหนือสุดสยามไพร บ่มิคลายพนาพรรณ
รวงผึ้งวิลาวัณย์ ดรุนั้นประจำองค์
เจ้าฟ้าสยามแดน นฤแคว้นฤดีคง
เทิดไท้ ธ ยืนยง องค์บรมราชกุมาร
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
ชื่อไทย : รวงผึ้ง
ชื่อท้องถิ่น : น้ำผึ้ง (กรุงเทพฯ) , สายน้ำผึ้งและดอกน้ำผึ้ง (ภาคเหนือ)
ชื่อสามัญคือ : Yellow star
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Schoutenia glomerata King subsp.peregrina (Craib)Roekm.
ชื่อวงศ์ : MALVACEAE
ลักษณะวิสัย : ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ลำต้น : ลำต้นแตกกิ่งต่ำ กิ่งค่อนข้างเล็กเรือนยอดเป็นพุ่มมน
ใบ : ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปแผ่นใบสองข้างไม่เท่ากัน ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียว ด้านล่างสีน้ำตาลอมนวล
ดอก : ดอกมีกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน บานได้นาน ๗ – ๑๐ วัน ช่อดอกดกเกิดตามซอกใบเป็นช่อสั้น โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น ๕ แฉกคล้ายรูปดาว ไม่มีกลีบดอกมีเกสรตัวผู้จำนวนมากซึ่งส่วนที่มองเห็นเป็นสีเหลืองเหมือนดอกนั้นเป็นเกสรตัวผู้รวมกันเป็นกระจุก เมื่อบานเต็มที่ดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕ ซม. มีกลิ่นหอม เมื่อดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามอร่ามตาและส่งกลิ่นหอมชื่นใจ
ผล : เป็นผลแห้ง ทรงกลม มีขน เมื่อแก่จะไม่แตก ขนาด ๐.๕-๑ เซนติเมตร
ระยะติดดอก : ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
สภาพนิเวศวิทยา:เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบขึ้นในที่แล้ง ไม่มีน้ำท่วมขังจึงจะมีดอกสีเหลืองดกเต็มต้น แต่หากได้น้ำมากหรือขึ้นบนที่ชุ่มน้ำจะมีดอกประปราย
การปลูกและการขยายพันธุ์ : การตอนกิ่ง และปักชำกิ่ง หรืออาจใช้การเพาะเมล็ดก็ได้ การตอนกิ่ง เป็นวิธีการที่เหมาะสมแต่ต้องใช้ฮอร์โมนในการเร่งรากจึงจะได้ผลดีในการขยายพันธุ์
รายละเอียดการใช้ประโยชน์ : นำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยงามออกเต็มต้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ร่มเงา ปลูกเลี้ยงง่าย ทนแล้ง เป็นไม้มงคลเหมาะสำหรับคนธาตุไฟ
ข้อดีของพันธุ์ไม้ :
- ออกดอกครั้งละมากๆ (เต็มต้น) เมื่อดินแห้งตามธรรมชาติ
- เป็นพันธุ์ไม้หอมที่มีช่วงการปลูกกว้าง สามารถขึ้นได้ดีทั้งที่แห้งแล้งและที่ค่อนข้างชื้น
- เป็นพันธุ์ไม้ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ไม่ต้องการการดูแลมาก ใบไม่ค่อยร่วง
- เป็นพันธุ์ไม้ที่มีระบบรากดีมาก ไม่มีการหักโค่นของต้นขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นกิ่งที่ได้จากการตอน
แหล่งอ้างอิง : - http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/index.php/ornament
- http://www.bloggang.com/mainblog.
- http://agkc.lib.ku.ac.th/plantwebsite/webpage/Trees/
- https://www.gotoknow.org/posts/199490