[x] ปิดหน้าต่างนี้
 
 

 

  

ข่าวประชาสัมพันธ์
19 กันยายน วันพิพิธภัณฑ์ไทย

พฤหัสบดี ที่ 18 เดือน กันยายน พ.ศ.2557


 

วันพิพิธภัณฑ์ไทย

วันที่ 19 กันยายน

วันพิพิธภัณฑ์ไทย ตรงกับวันที่ 19 กันยายนของทุกปี อยากรู้ไหมทำไมประเทศไทยถึงกำหนดให้มี วันพิพิธภัณฑ์ไทย ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. 

ประวัติวันพิพิธภัณฑ์ไทย

เมื่อพูดถึง “พิพิธภัณฑ์” คนส่วนใหญ่ในบ้านเรามักไม่นิยมเข้าไปสักเท่าไร แต่เวลาไปต่างประเทศน่าแปลกที่ว่า สถานที่ที่เราหรือนักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมากในแต่ละปี กลับกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ ” ทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเงินค่าเข้าชมมิใช่ราคาถูก ๆ (อืม…)

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น… ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรู้สึกของคนส่วนมากมักคิดว่า “พิพิธภัณฑ์ไทย” คร่ำครึล้าสมัย เมื่อเข้าไปแล้วไม่โก้เก๋เหมือนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในยุโรปหรืออเมริกา ทั้ง ๆ ที่ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ของเราได้พัฒนาไปแล้วไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นของทางราชการหรือเอกชน และยังมีรูปแบบที่หลากหลายให้เลือกชม ยิ่งในยุคปฏิรูปการศึกษา ที่สอนให้เด็กได้ศึกษาค้นคว้านอกเหนือไปจากการเรียนการสอนในระบบแล้ว “พิพิธภัณฑ์” นับได้ว่าเป็น “แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต” ที่สำคัญยิ่งในขณะนี้ (ว้าว…)



ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 – 17 ทางด้านซีกโลกตะวันตก ได้มีการตื่นตัวในด้านการเก็บรวบรวม และสะสมทรัพย์สมบัติ และมรดกต่าง ๆ ทั้งที่เป็นวัตถุ สิ่งของมีค่า สิ่งเก่าแก่ ที่หายากและแปลก ๆ เพื่อเป็นหลักฐานทางมรดกวัฒนธรรมของชาติอันเป็นการแสดงถึงความเป็นใหญ่ และความมั่งคงของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เด่นชัด ซึ่งเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมนั้น จะปรากฏขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาตินั้น ๆ ได้มีการรวบรวมหลักฐานที่เป็นศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ สิ่งประดิษฐ์จากการคิดค้นหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นสมบัติของชาติ มาประมวลเป็นหลักฐานให้ชีวิตของชนในชาตินั้นได้
สำหรับในประเทศไทยนั้น ผู้ริเริ่มดำเนินการรวบรวมวัตถุสิ่งต่าง ๆ เป็นคนแรกได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ที่พระที่นั่งราชฤดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ และต่อมาได้ย้ายมาจัดแสดงที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่มาของคำว่า “พิพิธภัณฑ์” ในเวลาต่อมา เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้ง “มิวเซียม” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกขึ้น ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417


เส้นทางพิพิธภัณฑสถานไทย ที่เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่พิพิธภัณฑสถานประชาชน และพัฒนาต่อไปจากพิพิธภัณฑสถานที่เก็บรักษาสรรพสิ่งทั่วไป ไม่กำหนดประเภทแน่นอน มาเป็นพิพิธภัณฑสถานมากมายหลายประเภท ตามลักษณะของศิลปวิทยาการที่เกิดขึ้นในโลก ทั้งทางศิลปะวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธุ์วิทยา สังคมวิทยา และสาขาวิชาอื่น ๆ เป็นจำนวนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ และยังได้ยกระดับกิจการพิพิธภัณฑ์ไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

 

โดยเข้าเป็นสมาชิกสภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ หรือ ICOM ซึ่งให้คำจำกัดความว่า “พิพิธภัณฑ์” ว่ามิใช่เป็นแหล่งเก็บรวบรวม สงวนรักษาศึกษาวิจัย และจัดแสดงเฉพาะวัตถุเท่านั้น แต่พิพิธภัณฑ์ไดัรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหลักฐานสำคัญต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกับสังคมวัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ จากหลักฐานในอดีต สิ่งที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยนัยนี้พิพิธภัณฑสถานในประเทศไทยได้จัดตั้งขึ้นแล้วกว่า 200 แห่ง และได้มีการพัฒนารูปแบบกิจการ ให้มีความเป็นสถาบันการศึกษานอกรูปแบบที่สำคัญอีกด้วยด้วย
 

เหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปี เป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติได้รับพระราชทานพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรกจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ 2417 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน

และเพื่อปลูกฝังให้คนไทยรักและหวงแหนในศิลปวัฒนธรรม อันเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในวันพิพิธภัณฑ์ไทย โดยพิพิธภัณฑสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมกันเปิดพิพิธภัณฑสถานให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสเข้าไปชมศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อสร้างความรักความเข้าใจ ตลอดจนภูมิใจในความเป็นไทยโดยทั่วกัน

๑๙ เรื่องชวนรู้เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์มาเล่าให้ทราบกันดังต่อไปนี้

๑. “พิพิธภัณฑสถาน” มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ. ศ. ๒๕๔๒ ว่า สถานที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรมหรือด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ
๒. รัชกาลที่ ๔ ทรงเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “พิพิธภัณฑ์” ขึ้นมาใช้ในประเทศไทย
๓.คำว่า “ พิพิธภัณฑสถาน ” มาจากคำภาษาบาลีและสันสกฤต “ พิพิธ ” แปลว่า ต่างๆกัน “ ภัณฑ์ ” แปลว่า สิ่งของ เครื่องใช้ “ สถาน ” หมายถึง สถานที่ แหล่ง ที่ตั้ง ดังนั้น คำว่า “ พิพิธภัณฑสถาน ” จึงแปลว่า “ สถานที่สำหรับรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เป็นต้น
๔ . ในปีพ . ศ . ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯให้สร้างพระที่นั่งองค์หนึ่งขึ้นในพระบรมมหาราชวังและพระราชทานนามว่า “ประพาสพิพิธภัณฑ์” เพื่อใช้เป็นที่จัดตั้งแสดงศิลปะโบราณวัตถุที่ทรงรวบรวมไว้ แต่มิได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม โดยเรียกพิพิธภัณฑสถานในครั้งนั้นทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “Museum”
๕. ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้โปรดเกล้าฯให้จัดตั้งมิวเซียมหลวงขึ้นที่ หอคองคอเดีย หรือศาลาสหทัยสมาคม ภายในพระบรมมหาราชวังชั้นนอกเพื่อจัดแสดงสิ่งของต่างๆ และเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรก เนื่องในการเฉลิมพระชนมายุครบ ๒๑ พรรษา โดยมีพิธีเปิด เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๑๗ ดังนั้น จึงถือว่า วันนี้เป็นวันกำเนิดกิจการพิพิธภัณฑ์สถาน สำหรับประชาชนในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
๖. ในปีพ . ศ . ๒๕๓๘ คณะรัฐมนตรีได้ประกาศให้วันที่ ๑๙ กันยายนของทุกปีเป็น “วันพิพิธภัณฑ์ไทย”
๗. มิวเซียมหลวงที่หอคองคอเดีย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดตั้งขึ้นนี้ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะในการเฉลิมพระชนมพรรษาต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี จนถึงปีพ . ศ . ๒๔๓๐ พระองค์ได้ย้ายมิวเซียมหลวงจากพระบรมมหาราชวังไปจัดตั้งใน พระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ซึ่งมิวเซียมหลวงแห่งนี้ถือเป็นจุดกำเนิดพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย ซึ่งต่อมาก็คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นั่นเอง
๘. พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดียในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ทั่วไป มีพระยาภาสกรวงษ์ (พร บุนนาค) นายทหารในกรมทหารมหาดเล็ก เป็นหัวหน้าฝ่ายไทย และมีนายเฮนรี่ อาลาบาสเตอร์ เป็นผู้อำนวยการจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถาน หอคองคอเดียให้เป็นแบบสากล
๙. การจัดแสดงในหอคองคอเดีย แบ่งเป็น ๓ กลุ่มคือ
๑. ศิลปะโบราณวัตถุของไทย
๒. ศิลปะโบราณวัตถุส่วนพระมหากษัตริย์
๓. ศิลปะโบราณวัตถุจากต่างประเทศ ซึ่งนายเฮนรี่ยังเป็นผู้ริเริ่มจัดทำแค็ตตาล็อกบัญชีภาษาอังกฤษและภาษาไทยด้วย
๑๐. เจ้าหน้าที่กุเรเตอร์ (Curator) หรือภัณฑารักษ์คนแรกของมิวเซียมคองคอเดีย คือ สิบเอกทัด แห่งกรมทหารช่างมหาดเล็กรักษาพระองค์ ต่อมาได้เป็น พลโทพระยาสโมสรสรรพการ (ทัด ศิริสัมพันธ์)
๑๑. ปีพ.ศ.๒๔๓๑ รัชกาลที่ ๕ ได้โปรดให้ยกฐานะพิพิธภัณฑ์ขึ้นเป็นกรมพิพิธภัณฑสถาน ขึ้นกับกระทรวงธรรมการ และมีพระองค์เจ้าไชยานุชิต กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป เป็นเจ้ากรมคนแรก
๑๒. ในปีพ.ศ. ๒๔๕๕ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้รวมงานของกรมพิพิธภัณฑสถานเข้ากับแผนการช่างอย่างประณีต และยกฐานะขึ้นใหม่เป็น กรมศิลปากร งานพิพิธภัณฑ์จึงมาอยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร
๑๓. พิพิธภัณฑ์สามารถแบ่งประเภทตามหลักสากลทั่วโลก ได้ ดังนี้
๑. พิพิธภัณฑสถานทางศิลปะ ( Museum of Art )
๒. พิพิธภัณฑสถานศิลปะร่วมสมัย ( Gallery of Contemporary Arts )
๓. พิพิธภัณฑสถานทางธรรมชาติวิทยา ( Natural History Museum )
๔. พิพิธภัณฑสถานทางวิทยาศาสตร์และเครื่องกล ( Museum of Science and Technology )
๕. พิพิธภัณฑสถานทางมานุษยวิทยาและชาติพันธุ์วิทยา( Museum of Anthropology and Ethnology )
๖. พิพิธภัณฑสถานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ( Museum of History and Archaeology )
๗. พิพิธภัณฑสถานประจำท้องถิ่น ( Regional Museum )
๘. พิพิธภัณฑสถานแบบพิเศษ ( Specialized Museum )
๙. พิพิธภัณฑสถานของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา ( University Museum )
๑๔. ในประเทศไทย พิพิธภัณฑสถาน ในสังกัดกรมศิลปากร ได้จ้ดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ จึงมีคำว่า “แห่งชาติ” กำกับ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑสถานอื่นๆ เช่น พิพิธภัณฑสถานในส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ เช่น รัฐสภา สวนสัตว์ดุสิต พิพิธภัณฑสถานในส่วนประจำวัดหรือองค์การทางศาสนา เช่น พิพิธภัณฑสถานแสดงชีวประวัติหลวงปู่มั่น ท่านพุทธทาส และพิพิธภัณฑสถานของเอกชน เช่น เมืองโบราณ บ้านจิม ทอมสัน เป็นต้น
๑๕. พิพิธภัณฑสถานในความดูแลของกรมศิลปากร มี ๒ ลักษณะคือ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์ เป็นต้น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่วนภูมิภาค เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี เป็นต้น
๑๖. หน้าที่ของพิพิธภัณฑสถานโดยทั่วไป แบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆ ได้ดังนี้ ๑.รวบรวมวัตถุ( Collection) ๒.จำแนกประเภทวัตถุ (Identifying) ๓.ทำบันทึกหลักฐาน (Recording) ๔.สงวนรักษา (Preservation) ๕. จัดแสดง( Exhibition) และ ๖.ให้บริการทางการศึกษา (Education)
๑๗. ผู้ที่เข้าชมพิพิธภัณฑสถานสามารถแบ่งได้หลายประเภท เช่น นักท่องเที่ยว / ชาวพื้นเมือง รวมถึงเจ้าของประเทศ นอกจากนี้บางแห่งยังแบ่งเป็น เด็กนักเรียน / ผู้ชมที่เป็นประชาชนทั่วไป และผู้สนใจพิเศษหรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
๑๘. จุดประสงค์ของการเข้าชมพิพิธภัณฑสถาน ได้แก่ เพื่อความเพลิดเพลิน /เพื่อชมความงามและคุณค่าของวัตถุที่จัดแสดง และเพื่อการศึกษา ค้นคว้า
๑๙.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เคยพระราชทานพระบรมราโชวาทไว้ว่า
“……ต้องพยายามแนะนำชักจูงคนทั่วไปให้ทราบถึงกิจการ บริการ รวมทั้งประโยชน์ที่พึงจะได้รับจากพิพิธภัณฑสถาน เมื่อประชาชนได้รู้จัก ได้ใช้ และได้รับประโยชน์จากพิพิธภัณฑสถานโดยกว้างขวางแล้ว จะนับว่าเกิดประโยชน์แก่การศึกษาค้นคว้าอย่างแท้จริง ….”

ที่มา: Kapook



เข้าชม : 1453


ข่าวประชาสัมพันธ์ 5 อันดับล่าสุด

      อบรมการอนุรักษ์เอกสาร 5 / ก.ค. / 2561
      ส่งเสริมการอ่านโดยรถโมบายเคลื่อนที่ 5 / ก.ค. / 2561
      4 ก.ค. 2561 หลักสูตรการพัฒนาเว็บไซต์ Koratsite 2.05 4 / ก.ค. / 2561
      ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ วันศิลปินแห่งชาติ 16 / ก.พ. / 2558
      งานวันครู 17 / ม.ค. / 2558


 
ห้องสมุดประชาชนอำเภอวังวิเศษ  จังหวัดตรัง
ถนนเพชรเกษม ตำบลวังมะปรางเหนือ อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง 92220  โทรศัพท์ 075-262064 โทรสาร 075-262147
trang@trang.nfe.go.th
Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.05