เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม พล.ต.อ.เภา สารสิน วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีกิจกรรมชื่นชมยินดีให้ ‘อังคาร จันทาทิพย์’ แห่ง ‘หัวใจห้องที่ห้า’
หัวใจคนมีสี่ห้อง แต่หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘หัวใจห้องที่ห้า’ รางวัลซีไรต์ประเภทบทกวี ปี ๒๕๕๖
ในฐานะคนอีสาน แถมบ้านปัจจุบันอยู่ขอนแก่น จึงได้รับเชิญให้ไปรับน้องด้วยการอ่านบทกวี แต่ผมนั้นก็ขี้เขินขี้อายที่จะแต่งกลอนอวยเอินเยินยอกันใหญ่โตเกินเหตุ และเชื่อว่าเจ้าตัวกวีก็คงรู้สึกเช่นกัน จึงพลิกแพลงวิธีการอ่านบทกวีแสดงความยินดี เป็นการอ่านข้อเขียนที่เคยสัมภาษณ์กวีไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ และข้อเขียนนี้เองได้รวมอยู่ในภาคผนวก ‘หัวใจห้องที่ห้า’ ในเวลาต่อมา
ลองนำบางตอนมาย้อนรอยทางของกวี-คนหนุ่มบ้านนอกจากมัญจาคีรี ขอนแก่น ผู้ดำรงชีพในเมืองหลวง ผู้หลงใหลศิลปะแห่งบทกวี มีรวมบทกวีแล้วหลายเล่ม ทั้ง ‘คนรักของความเศร้า’ ‘วิมานลงแดง’ ‘ที่ที่เรายืนอยู่’ ‘หนทางและที่พักพิง’ และ ‘หัวใจห้องที่ห้า’
ที่มาของแรกบันดาลใจรักบทกวี...
‘คนรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อและแม่ เป็นหมอลำเกือบจะทั้งหมู่บ้าน รวมถึงรุ่นลูกอายุราว ๔๐-๕๐ ปีขึ้นไปด้วย งานบุญประเพณีต่างๆ ในหมู่บ้าน อย่างเทศกาลสงกรานต์ บุญผะเหวด นอกจากจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวการเดินทางไปลำตามที่ต่างๆ จากวงข้าววงเหล้าแล้ว ยังเป็นเสมือนงานรื่นเริงของหมอลำเก่า ได้ย้อนรำลึกถึงความหลังครั้งก่อนด้วยการขับร้องหมอลำให้คนรุ่นหลานฟัง...’
ลูกหลานหมอลำเก่าแก่ สู่วิถีกวีร่วมสมัย...
‘ผมเขียนบทกวีด้วยความรู้สึกว่ามีเรื่องอยากบอกเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง ผมถนัดที่จะบอกเล่าในแบบบทกวี ผมคิดว่าเสน่ห์บทกวีอยู่ที่ความกระชับ แต่สามารถบรรจุประเด็น เนื้อหา อารมณ์ ความคิด สีสัน บรรยากาศ จินตภาพ ที่กวีต้องการบอกเล่าออกไปไว้อย่างครบถ้วน งดงาม วรรณกรรมประเภทอื่นอาจจะต้องใช้ความยาวหลายหน้าหนังสือในการบอกเล่า แต่ปรากฏในกวีเพียงบทเดียว สำนวนเดียว...บางความคิดคำนึง ผมรู้สึกเลือดเนื้อของความเป็นนักขับร้องหมอลำได้ถูกส่งทอดมา เพียงแต่เปลี่ยนจากขับลำและทำนองเล่าในรูปแบบเดิมมาเป็นการเขียน แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ผลัดคนรุ่นราวคราวพ่อแม่ไปแล้ว สิ่งเหล่านี้กำลังจะสูญหาย เรื่องเล่าของคนรุ่นราวคราวเราก็เป็นเรื่องเล่าอีกยุคสมัยหนึ่ง ทำนองหนึ่ง เกิดขึ้นและดำเนินไปด้วยเงื่อนไขชีวิตอีกแบบหนึ่ง สภาพสังคมแบบหนึ่ง แต่ทำยังไงจะให้เห็นเค้ารอยการเชื่อมโยงอดีตและการเดินทางมาถึงปัจจุบันของตัวเองได้ แล้วเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง พลัดถิ่น ไกลบ้าน ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างออกไป...เป็นเรื่องที่อยากเล่าผ่านบทกวี...สำหรับผมตอนนี้ การกลับไปอ่านตำนาน นิทาน เรื่องปรัมปราของบรรพบุรุษตัวเอง และผู้คนในพื้นที่อื่น ภูมิภาคอื่นๆ แล้วกลับมาพลิกหามุมมองใหม่ๆ ในการเล่า เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น... เป็นการเดินทางไกลในทางเก่า...”
อังคารเป็นลูกศิษย์ของ ครูประยูร ลาแสง หรือ ’พระไม้ ผู้เป็นทั้งกวีและนักแต่งเพลง ผู้แต่เพลงโด่งดัง ‘ชาวนาอาลัย’ ในวันจัดงานแสดงความยินดี จึงมีการเชิญลูกศิษย์มาพบครู รวมทั้งครูจากโรงเรียนมัญจาศึกษา ขอนแก่น ก็ยกคณะมาร่วมแสดงความยินดีกับศิษย์เก่า เพราะลูกศิษย์คนนี้โตมาจากห้องสมุดหมวดภาษาไทยของโรงเรียน
ครูประยูรกับศิษย์อังคาร บอกเล่าอดีตอย่างเห็นภาพของครูที่รักการอ่านและบ่มเพาะนักเรียนที่รักการอ่าน คนที่เรียนไม่เก่งวิชาอื่น กลับเก่งภาษาไทยและชอบอ่านหนังสือ เมื่อครูประยูรมีร้านเช่าหนังสือ อังคารก็ไปขอเป็นผู้ดูแลร้าน และร้านเช่าหนังสือของครูประยูรนั้น มิได้มีเพียงหนังสือนวนิยายเริงรมย์ทั่วไป หากมากมายไปด้วยหนังสือวรรณกรรมทั้งไทยและต่างประเทศ นักเรียนผู้รักการอ่านก็ได้โอกาสการอ่านที่ครูหยิบยื่นให้ เขาอ่านหนังสือมากตั้งแต่เรียนมัธยม จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย และเมื่อเรียนจบแล้วเข้าสู่วิถีการงาน เขาก็ยังอ่านหนังสือ และเขียนหนังสือ...
‘อย่าเพิ่งคิดว่ารางวัลซีไรต์เป็นจุดสุดท้าย ให้คิดว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น’
ผู้แสดงชื่นชมยินดีท่านหนึ่ง กล่าวกับกวีหนุ่ม-‘อังคาร จันทาทิพย์’
-----------------------
(หนังสือที่เธอถือมา : ''อังคาร จันทาทิพย์'' ผู้มี ''หัวใจห้องที่ห้า'' : โดย...ไพวรินทร์ ขาวงาม)