โดยปกติทั่วไปแล้ว คนแต่ละคนจะมีโครโมโซมอยู่ในเซลล์ร่างกาย 23 คู่ หรือ 46 แท่ง ซึ่งจะรับจากบิดา 23แท่ง และจากมารดา 23แท่ง โครโมโซมมีหน้าที่แสดงลักษณะออกคนคนนั้นรับออกมา เช่น ผมสีดำ ตาสีน้ำตาล ตัวสูง เพศหญิง หรือเพศชาย ฯลฯ โดยจะถ่ายทอดลักษณะดังกล่าวสู่ลูกหลาน หรือเรียกกันว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งบุตรจะรับจากบิดา 23แท่งและจากมารดา 23แท่ง สำหรับเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครโมโซม
ซึ่งสามารถจำแนกได้ 3 ประเภท คือ
- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง
- ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ 14 มายึดติดกับโครโมโซมคู่ที่ 21
- โครโมโซมทั้งที่ปกติและผิดปกติที่มีอยู่ในคนเดียวกัน
เด็กกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม จะมีปัญหาในการใช้ภาษา มักจะพูดช้าและพูดไม่ชัด มีการทำงานของกล้ามเนื้อในปากผิดปกติเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนนิ่ม โดยทั่วไปเด็กจะพูดได้เมื่ออายุ ประมาณ 2 ปี ถึง 2 ปีครึ่ง
ปัญหาด้านภาษาและการพูดของเด็กกลุ่มอาการดาวน์
1. มีพัฒนาการด้านการพูดช้ากว่าความเข้าใจในภาษาและสติปัญญา เช่น ครูสั่งให้หยิบดินสอ เด็กสามารถหยิบได้ถูกต้องแต่ยังไม่สามารถพูด “ดินสอ” ได้ทันที ต้องได้รับการเรียนรู้และฝึกพูดอย่างต่อเนื่อง
2. พูดไม่ชัด เช่น พูดคำว่า “แม่” เป็น “แอ้” เป็นต้น
3. พูดไม่คล่อง เช่น พูด “แมะ – แมะ - แมว” เป็น
4. ในการสนทนาจะพูดโดยใช้วลีสั้นๆ เช่น สถานการณ์เด็กกำลังเดินออกจากห้องเรียน ครูถามว่า “ จะไปไหน ” เด็กตอบ “ หาแม่ ” เป็นต้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กมีความผิดปกติทางการพูด
1. มีความผิดปกติทางการได้ยิน ซึ่งเด็กจะสามารถพูดได้ต้องได้ยินได้ฟัง เสียงนั้นมาก่อนแล้วจึงจะพูดเลียนแบบได้ ถ้าเด็กหูตึงหรือหูหนวกก็จะทำให้พัฒนาการทางการพูดช้ากว่าวัยด้วย
2. มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนนิ่ม ซึ่งมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อปากและลิ้น ทำให้มีการเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก
3. มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยเด็กที่มีระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าปกติจะทำให้การรับรู้และการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ช้า โดยเฉพาะส่งผลให้พัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าวัยด้วย
4. มีช่องปากขนาดเล็ก
5. มีลักษณะการสบฟันผิดปกติ
6. การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้ออวัยวะที่ใช้ในการเปล่งเสียงพูด
การฝึกพูด
โปรแกรมการสอนพูดและฝึกพูดของเด็กกลุ่มอาการดาวน์นั้น จะต้องออกแบบเป็นลักษณะเฉพาะบุคคล โดยนักแก้ไขการพูดจะเป็นผู้ประเมินความสามารถในการสื่อสารของเด็ก ให้คำแนะนำรวมทั้งช่วยกระตุ้นส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสามารถด้านภาษาและการพูดของเด็กอย่างมาก เนื่องจากภาษาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ต้องมีการกระตุ้นและส่งเสริมอยู่ตลอดเวลา เด็กแต่ละคนจะได้รับโปรแกรมการฝึกพูดที่แตกต่างกันไปตามวัย โดยมีเป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยให้เด็กสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการฝึกพูดแบ่งเด็กเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- วัยทารกถึงวัยเตาะแตะ (อายุ 0 – 3 ปี)
การฝึกพูดเด็กวัยนี้ ครอบครัว มีส่วนร่วมอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่เด็กจะอยู่กับครอบครัว ดังนั้นการฝึกพูดจะเน้น
1. การพัฒนาทักษะการมองการฟังและการสัมผัส โดยการฝึกให้เด็กมองและฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายรวมทั้งการสัมผัสทางกาย เพราะความสนใจสามารถกระตุ้นได้ด้วยสิ่งที่มองเห็นด้วยตา การได้ยินเสียงและการได้สัมผัสกับสิ่งๆ นั้น แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นการเลียนแบบและการพูด
2. การฝึกบริหารอวัยวะที่ใช้ในกาพูด เช่น การบริหารริมฝีปากโดยการเป่าฟองสบู่ เป่ากังหันลม หรือการใช้หลอด ดูดน้ำจากแก้ว เป็นต้น การบริหารลิ้น โดยการแลบลิ้น
ออกให้ยาวที่สุดแล้วตวัดลิ้นกลับโดยเร็ว การใช้ลิ้นเลียอมยิ้ม หรือทานมข้นหวานไว้ที่ริมฝีปากบนและล่างแล้วให้เด็กใช้ลิ้นเลีย เป็นต้น
3. การฝึกเลียนแบบการออกเสีต่างๆ เช่น พูดเลียนแบบเสียงร้องของสัตว์ เช่น แมวร้อง เมี๊ยวๆ / ลิง ร้อง เจี๊ยกๆ / เป็ด ร้อง ก้าบๆ เป็นต้น
4. การฝึกพูดคำเดียว เช่น พ่อ , แม่ , กิน , นอน , ปลา , หมู ฯลฯ จนถึงการพูดเป็นวลี2–3 พยางค์ เช่น กินข้าว, ไปเที่ยวนะ เป็นต้น
- วัยก่อนเรียน (อายุ 3 – 6 ปี)
เด็กวัยนี้จะมีความเข้าใจทางภาษาได้ดีกว่าการพูด โดยในการฝึกพูดจะเน้นทักษะ 2 ด้านนี้ไปพร้อมๆ กัน ได้แก่
1. ด้านความเข้าใจภาษา การฝึกจะเน้นเรื่องของความจำโดยผ่านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งเพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญในการเข้าสู่วัยเรียนต่อไป โดยควรเน้นความเข้าใจในเรื่องของความคิดรวบยอดของสิ่งต่างๆ ด้วย เช่น เรื่องสี รูปทรง ตำแหน่ง เป็นต้น
2. ด้านการพูด การฝึกจะเน้นการพูดที่เป็นให้ประโยคและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์โดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น การทักทาย การตอบคำถามในวัยนี้เริ่มที่ต้องได้รับการแก้ไขการพูดไม่ชัด แต่จะทำงานร่วมไปกับการบริหารอวัยวะที่ใช้ในช่องปากและให้กิจกรรมเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อในช่องปากได้ดีขึ้น
- วัยเรียน (อายุ 6 – 12 ปี)
ในวัยนี้นักแก้ไขการพูดต้องทำงานร่วมกับครูในชั้นเรียน เพื่อวางโปรแกรมการฝึกพูด ดังนี้
1. ด้านความเข้าใจภาษา ความเข้าใจ ภาษาของเด็กวัยนี้ จะเกี่ยวกับการทำกิจกรรมที่โรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน การปฏิบัติตามคำสั่งในการทำงานร่วมกับกลุ่มเพื่อนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการใช้ความคิดวิเคราะห์หาเหตุผล ซึ่งมีความยากและมีความซับซ้อนมากขึ้น
2. ด้านการพูด เน้นให้เด็กใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากเด็กต้องใช้ภาษาในการสนทนากับกลุ่มเพื่อนและมีปฏิสัมพันธ์กับครู สามารถพูดเล่าเรื่องถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตนพบได้ นอกจากนั้นการพูดให้ชัด พูดให้คนอื่นฟังเข้าใจความหมายของคำพูดที่ตนพูดได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญอันหนึ่งสำหรับการฝึกพูดในเด็กวัยเรียนด้วย
เอกสารอ้างอิง
- งานอรรถบำบัด สถาบันราชานุกูล. การฝึกพูดเด็กกลุ่มอาการดาวน์. บทความhttp://www.rajanukul.com
- ดารณี ธนะภูมิ. การสอนเด็กปัญญาอ่อน. กรุงเทพฯ : สมใจการพิมพ์ ; 2542
- ศรียาและประภัสร นิยมธรรม. พัฒนาการทางภาษา.
ปริญญา หลวงพิทักษ์ชุมพล. เด็กเริ่มหัดพูดช้า. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ; 2545
เข้าชม : 6909 |